การพบคนไทยติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในประเทศ
โรคติดเชื้อโควิด-19 ได้กลับมาสร้างความวิตกกังวลให้คนไทยทั้งประเทศอีกครั้งในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ เมื่อมีการพบผู้ป่วยคนไทยติดเชื้อโควิด-19 ที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นคนไทยที่กลับมาจากประเทศเพื่อนบ้าน จึงทำให้เกิดการคาดคะเนว่า ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่การระบาดรอบที่สองของเชื้อโควิด-19 เหมือนประเทศอื่นๆ หรือไม่ความหวังของการป้องกันการระบาดของไวรัสชนิดนี้ก็คือ การใช้วัคซีนป้องกันโรค ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันมีการแข่งขันในการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในหลายประเทศ และภายในเดือนธันวาคมนี้ ได้มีการอนุมัติและได้เริ่มฉีดวัคซีนที่ใช้เวลาในการคิดค้นและทดสอบในระยะเวลาอันรวดเร็วในประเทศรัสเซีย จีน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น มีการคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ใช้ได้ประมาณกลางปี 2564 และหากว่าประเทศไทยมีการระบาดรอบที่สองจริง ผู้ป่วยจะมียารักษาโรคโควิด-19 หรือไม่? ยารักษาโรคโควิด-19 ชนิดรุนแรง คือ Remdesivir ของบริษัท Gilead Sciences มีราคาแพง แม้จะซื้อในราคามิตรภาพที่ประมาณ 2,340 ดอลล่าสหรัฐ หรือ 70,200 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน: 1 ดอลล่าสหรัฐ = 30 บาท) ต่อผู้ป่วย 1 คน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้มีการเตรียมพร้อมไว้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัญหาของมวลมนุษยชาติทั้งโลก ตลอดระยะเวลาที่มีการระบาดของโรคที่ผ่านมาเกือบ 1 ปี แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ได้มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อโควิด-19 มากขึ้น จึงทำให้การรักษามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ ในขณะที่การผลิตวัคซีนได้มีการศึกษาวิจัย และพัฒนาอย่างเร่งด่วน และเป็นความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจนประสบความสำเร็จได้ในเวลาอันรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การผลิตวัคซีน ซึ่งมีหลายชนิดที่จะทยอยนำออกมาใช้ในปัจจุบัน ตัวอย่าง เช่น วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) และไบออนเทค (BioNTech) เป็นต้น การพัฒนายารักษาโรคโควิด-19 ส่วนการพัฒนายาจากสมุนไพร โดยอาศัยแนวความคิดด้านวิทยาการทางเคมีเชิงคํานวณ หรือเคมีคอมพิวเตอร์ (Computational Chemistry) และการสืบค้นวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลต่างๆ ร่วมด้วย เพื่อหาเป้าหมายการออกฤทธิ์ของยาที่มีใช้อยู่แล้ว และสารออกฤทธิ์จากสมุนไพร รวมทั้งการศึกษากลไกการออกฤทธิ์ในหลอดทดลอง ที่มีการแข่งขันกันศึกษาวิจัยเป็นอย่างมากในช่วงปี ค.ศ. 2020 และมีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยเป็นจำนวนมาก (Akaji and Konno, 2020; Alazmi and Motwalli, 2020; Bhuiyan et al, 2020; Boopathi et al, 2020; Das et al, 2020; Enmozhi et al, 2020; Fiorucci et al, 2020; Goyal and Goyal, 2020; Hoffmann et al, 2020; Kodchakorn et al, 2020; Lakshmi et al, 2020; Maurya et al, 2020; Murugan et al, 2020; Stoddard et al, 2020; Wu et al, 2020; Zhou et al, 2020) ซึ่งจากผลงานวิจัยเหล่านี้ทำให้พบว่า ไวรัสสามารถเข้าสู่เซลล์เจ้าบ้านได้อย่างไร และตำแหน่งที่ยาจะไปออกฤทธิ์จะมีอะไรบ้าง ซึ่งความรู้เหล่านี้ จะสามารถนำไปสู่การพัฒนายา เพื่อใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ในอนาคตอันใกล้นี้ Remdesivir ปกติ การพัฒนายาใหม่เพื่อใช้ในการรักษาโรคจะใช้เวลานานมากระหว่าง 5-10 ปี ดังนั้น ในช่วงที่เชื้อโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์จึงเห็นว่า วิธีที่จะหายารักษาโรคที่ทำได้เร็วที่สุดก็ คือ ต้องอาศัยการศึกษาข้อบ่งใช้ใหม่ของยาเดิมที่มีอยู่แล้ว ทั้งยาแผนปัจจุบันและยาจากสมุนไพร เพื่อลดขั้นตอนการนำยามาใช้ให้ทันกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก การศึกษาหาเป้าหมายของยาที่จะออกฤทธิ์ในการรักษาโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยมีหลักการสำคัญ คือ การป้องกันเชื้อโควิด-19 เข้าสู่เซลล์ และการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสในร่างกาย ตัวอย่างเช่น ยาต้านเชื้อไวรัส Remdesivir เป็นยาแผนปัจจุบันที่กำลังมีการศึกษาวิจัยเพื่อใช้ในการป้องกันและรักษาโรค Middle East Respiratory Syndrome Coronavirus หรือโรค MERS-CoV ได้มีการนำมาศึกษาในการยับยั้งเชื้อโควิด-19 ในหลอดทดลอง Remdesivir ออกฤทธิ์โดยการยับยั้ง Viral RNA–dependent, RNA polymerase ซึ่งเป็นขั้นตอนเริ่มต้นของการเพิ่มปริมาณเชื้อ (Li et al, 2020) และมีการวิจัยทางคลินิกในผู้ป่วยติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงจากผู้ป่วย 53 คน พบว่า มีอาการดีขึ้น 36 คน (Grein et al, 2020) สำหรับรายละเอียดการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับยานี้ (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากงานวิจัยของ Grein et al, 2020 และ Wang et al, 2020) จึงจัดได้ว่า Remdesivir ซึ่งเป็นยาที่กำลังมีการศึกษาการต้านเชื้อไวรัสอยู่แล้ว และสามารถนำมาใช้รักษาโรคโควิด-19 ได้เร็วที่สุด (Beigel et al, 2020) ฟ้าทะลายโจร ยาสมุนไพรที่นักวิจัยทั่วโลกให้ความสนใจในการนำมาใช้รักษาโรคโควิด-19 ในขณะนี้ คือ ฟ้าทะลายโจร ซึ่งในต่างประเทศรวมทั้งประเทศไทยได้มีการนำมาใช้ในการรักษาโรคหวัด (Common cold) ในคนมาเป็นเวลานานแล้ว (Thamlikitkul et al, 1991; Cáceres et al, 1997; Hancke et al, 1995) ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata Wall ex Ness. วงศ์ Acanthaceae) เป็นพืชสมุนไพรไทยที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ให้ความสนใจมาเป็นเวลาเกือบ 2 ทศวรรษ โดยทำการศึกษาวิจัย ตั้งแต่วิธีการปลูก วิธีการเตรียมสารสกัด การควบคุมคุณภาพสารสำคัญ การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและพิษวิทยา และได้เขียนบทความเผยแพร่ซึ่งติดตามอ่านได้ดังนี้
นอกจากนี้ สาร Andrographolide ซึ่งเป็นสารสำคัญหลักในฟ้าทะลายโจร ยังมีการศึกษาอย่างแพร่หลายในห้องปฏิบัติการและทางคลินิกเพื่อใช้เป็นยาต้านเชื้อไวรัสซึ่งครอบคลุมเชื้อไวรัสหลายชนิด (Cai et al, 2015; Cai et al, 2016; Chen et al, 2009; Churiyah et al, 2015; Ding et al, 2017; Edwin et al. 2016; Gupta et al, 2017; Lee et al, 2014; Ling et al, 2014; Paemanee et al, 2019; Tang et al, 2012; Wintachai et al, 2015) สำหรับการศึกษาเกี่ยวกับสาร Andrographolide ในการยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 มีการพยากรณ์โดยใช้เทคนิคทางวิทยาการเคมีเชิงคำนวณ เพื่อดูว่า สาร Andrographolide จะสามารถจับกับเป้าหมายสำคัญในกลไกการเข้าสู่เซลล์และเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสได้หรือไม่? กลไกการออกฤทธิ์ต้านไวรัสโควิด-19 ของสาร Andrographolide เชื้อไวรัสโควิด-19 มีตำแหน่งที่สำคัญ คือ Spike glycoprotein (ส่วนที่เป็นหนาม) ที่จะจับกับ Angiotensin converting enzyme-2 (ACE-2) โดยตำแหน่งนี้มีความสำคัญสำหรับการที่ไวรัสจะเข้าสู่เซลล์ เมื่อไวรัสเข้าเซลล์แล้วจะมีการเพิ่มจำนวนเชื้อไวรัสขึ้น ซึ่งต้องอาศัย Main protease Mpro และ Papain-like protease PLpro มีรายงานว่า สาร Andrographolide สามารถยับยั้งการทำงานของ Main protease ได้ (Bhuiyan et al, 2020; Enmozhi et al, 2020; Mohammad et al, 2020; Shi et al, 2020) นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า สาร Andrographolide สามารถยับยั้งที่ Spike protein และ ACE2 (Maurya et al, 2020) และ PLpro 3CLpro และ Spike protein (Murugan et al, 2020) จากการศึกษาในหลอดทดลองของคณะนักวิจัยที่ไต้หวันพบว่า สาร Andrographolide ยับยั้งเอนไซม์ Main protease ได้จริงตามที่คาดการณ์ไว้ เมื่อทำการศึกษาโดยวิทยาการเคมีเชิงคำนวณ (Shi et al, 2020) นอกจากคุณสมบัติในการยับยั้งกลไกการเข้าสู่เซลล์และเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสแล้ว สารสกัดฟ้าทะลายโจร ยังมีฤทธิ์อีกหลากหลายที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการได้รับเชื้อไวรัส เช่น การลดการอักเสบ (Akbar, 2011; Cai et al, 2016) เป็นต้น ส่วนฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันหรือการปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกัน (Churiyah et al, 2015; Wang et al, 2010) เป็นเรื่องที่ซับซ้อน (Jafarzadeh et al, 2020) และจะต้องระมัดระวังอย่างมาก จึงยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในผู้ป่วยต่อไป การศึกษาทางคลินิกเบื้องต้นของฟ้าทะลายโจร สำหรับประเทศไทย มีการศึกษาของคณะนักวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดจากฟ้าทะลายโจร และสาร Andrographolide มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ได้จากผู้ป่วยในประเทศไทยได้ และจากการศึกษาทางคลินิกเบื้องต้นในประเทศไทยซึ่งมีผู้ป่วยเหลือจำนวนน้อยแล้ว ของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และหน่วยงานภาคีร่วมวิจัย ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โรงพยาบาลสมุทรปราการ และองค์การเภสัชกรรม พบว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ระดับความรุนแรงน้อย จำนวน 6 ราย ซึ่งได้รับการตรวจยืนยันการติดเชื้อภายใน 72 ชั่วโมง มีอาการดีขึ้นทุกราย หลังวันที่สามของการได้รับสารสกัดฟ้าทะลายโจร ซึ่งขณะนี้ ทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก มีแผนที่จะขยายการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมต่อไป ในช่วงที่เริ่มจะมีการระบาดครั้งใหม่นี้ ข้อควรระวังในการใช้ฟ้าทะลายโจร อย่างไรก็ตาม การใช้ฟ้าทะลายโจรในการรักษาโรค มีข้อที่ควรคำนึงถึงคือ ปริมาณของสารสำคัญ Andrographolide ในฟ้าทะลายโจรที่เหมาะสมจะต้องมีมากพอที่จะมีฤทธิ์ในการรักษา แต่ก็ไม่มากจนเกิดอาการข้างเคียงอื่นๆ ซึ่งจากการสำรวจผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไปพบว่า มีมากมายหลายรูปแบบ เช่น แคปซูลบรรจุผงบดละเอียด แคปซูลบรรจุสารสกัด ทั้งที่มีการขึ้นทะเบียนเป็นยาสมุนไพรซึ่งมีการระบุปริมาณสารออกฤทธิ์สำคัญ Andrographolide หรือในรูปแบบของผลิตภัณฑ์จากชุมชนหรือโรงพยาบาลชุมชน ซึ่งจากการศึกษาวิจัยของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ พบว่า แต่ละผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรจะมีปริมาณสารสำคัญแปรปรวนมาก ซึ่งอาจมีผลทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาโรคแตกต่างกัน ทำให้มีปริมาณการรับประทานมากน้อยไม่เท่ากัน โดยในเบื้องต้นการใช้ผลิตภัณฑ์ควรใช้ในปริมาณที่ระบุไว้ในฉลาก และข้อสำคัญคือ หลังการใช้ หากมีอาการแพ้ผื่นคัน ควรหยุดใช้ยาและรีบปรึกษาแพทย์ทันที นอกจากนี้ อาการข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจพบได้ คือ วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ และไม่ควรใช้ร่วมกับยาลดความดันเลือด เป็นต้น สรุป จากข้อมูลที่นำเสนอนี้จะเห็นได้ว่า มีความพยายามของนักวิจัยทั่วโลก โดยเฉพาะจากประเทศอินเดียและจีน ที่ให้ความสำคัญในการศึกษาหายามารักษาโรคโควิด-19 ให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งสารสำคัญหลักในฟ้าทะลายโจร (Andrographolide) นอกจากจะมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส จากการพยากรณ์โดยใช้วิทยาการเคมีเชิงคำนวณแล้ว ยังมีการทดสอบว่า สามารถยับยั้งการทำงานของ Main protease ในหลอดทดลองได้จริง ซึ่งกลไกนี้เป็นเป้าหมายของการออกฤทธิ์ในการยับยั้งการเพิ่มปริมาณของเชื้อไวรัสในร่างกาย และขณะนี้ทีมนักวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีการพบว่า ฟ้าทะลายโจรและสาร Andrographolide สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อในหลอดทดลอง และจากการศึกษาทางคลินิกเบื้องต้นยังได้ผลการทดสอบในเชิงบวก โดยผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งมีอาการน้อยสามารถหายได้เร็วขึ้น และตรวจไม่พบเชื้อ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นที่จะต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไปในผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น อีกทั้งยังจะต้องทำการศึกษาเภสัชจลนศาสตร์ของสารสำคัญฟ้าทะลายโจรในร่างกาย และอาการข้างเคียงหลังจากการรับประทาน เพื่อใช้ในการกำหนดปริมาณของการรับประทานยา ให้มีประสิทธิภาพในการรักษาและมีความปลอดภัยกับผู้ป่วย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้น่าจะทำให้คนไทยสบายใจได้ระดับหนึ่ง ว่าอย่างน้อยประเทศไทยเรา ก็ยังมีทางเลือกในการนำสมุนไพรไทยมาให้ใช้เป็นยารักษาได้ โดยหากพบว่า มีอาการคล้ายจะเป็นหวัด ในเบื้องต้นก็สามารถที่จะใช้ฟ้าทะลายโจรในการรักษาบรรเทาอาการก่อนที่จะไปพบแพทย์ต่อไป แต่วิธีที่ดีที่สุดคงจะเป็นมาตรการป้องกันที่ประเทศไทยใช้ได้ผลดี และได้รับคำชมเชยจากองค์การอนามัยโลกมาแล้ว ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในที่มีคนหนาแน่น และอากาศถ่ายเทไม่ดี การหมั่นล้างมือบ่อยๆ และการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล หากคนไทยทุกคนร่วมใจสามัคคีกันตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำอย่างเคร่งครัด คาดว่าประเทศไทยจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน เอกสารอ้างอิง
——————————–
|