เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2555 ที่ผ่านมานี้ ได้มีโอกาสไปเดินดูงาน “เกษตรมหัศจรรย์ ครั้งที่ 3” จัดโดยนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้านและเส้นทางเศรษฐีในเครือมติชน ซึ่งจัดขึ้นที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางแค ในปีนี้ได้จัดงานภายใต้แนวคิดหลัก “ข้าวของพ่อ วิถีพอเพียง” ซึ่งมีการนำพันธุ์ข้าวและพืชหายากต่างๆมาแสดงและจำหน่ายให้ประชาชนที่สนใจจำนวนมาก พันธุ์ข้าวที่นำมาแสดงและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เช่น ข้าวสินเหล็ก ข้าวไรซ์เบอรี่ และข้าวลืมผัว เป็นต้น ข้าวเหล่านี้เป็นข้าวที่มีสีม่วงเข้ม ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นข้าวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและธาตุอาหารสูงกว่าข้าวขาวธรรมดา จากข้อมูลที่ได้ในงาน พบว่า ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตข้าวได้เป็นอันดับ 6 ของโลก แต่สามารถส่งออกขายเป็นอันดับ 1 ของโลก ข้าวที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลกและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก ก็คือ ข้าวหอมมะลิ ซึ่งเป็นข้าวที่มีคุณภาพดี มีมูลค่าการส่งออกปีละกว่า 200,000 ล้านบาท แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ข้าวไทยที่ส่งออกไปขายยังประเทศต่างๆเป็นข้าวที่ได้มาตรฐานทั้งด้านคุณภาพและความปลอดภัย เมื่อเร็วๆนี้ได้มีบทความในหนังสือพิมพ์หลายฉบับพูดถึงการวิเคราะห์ปริมาณการปนเปื้อนของสารหนูในข้าวไทย โดยเฉพาะวิธีการตรวจวิเคราะห์สารหนูที่ได้มาตรฐานและการกำหนดค่าของสารหนูอนินทรีย์ซึ่งมีความเป็นพิษมากกว่าสารหนูทั้งหมด สารหนูอนินทรีย์ (Inorganic arsenic) เป็นสารอันตราย และสามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ Smith และคณะ (1992) รายงานว่า สารหนูเป็นสาเหตุของมะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งที่ไตและกระเพาะปัสสาวะได้ มีการศึกษาประชากรในประเทศไต้หวันที่อาศัยบริเวณที่มีการปนเปื้อนของสารหนูในน้ำดื่มสูง พบว่า ปริมาณสารหนูในน้ำดื่มมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญกับอัตราการตายของผู้ป่วยมะเร็งของอวัยวะภายใน (Chen et al., 1992) และจากการศึกษาอย่างต่อเนื่องของคณะนักวิจัยกลุ่มเดียวกันในประเทศไต้หวันในปี 2010 พบว่า การได้รับสารหนู ถึงแม้ว่าจะเป็นปริมาณน้อย แต่ได้รับเป็นระยะเวลานานตั้งแต่เกิดจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น (Chen et al., 2010) สารหนูเป็นธาตุกึ่งโลหะ พบได้ในธรรมชาติ การเผาถ่านหิน การถลุงแร่ การผลิตสี เป็นต้น แล้วสารหนูที่ปนเปื้อนในข้าวมาได้อย่างไร การปนเปื้อนของสารหนูในข้าวมาจากพื้นดินและแหล่งน้ำที่ใช้เพาะปลูก ปุ๋ยที่ใช้ สารกำจัดศัตรูพืชต่างๆ ชนิดหรือสายพันธุ์ข้าวเอง ก็เป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากข้าวแต่ละชนิดมีความสามารถในการดูดซึมและสะสมสารหนูได้ต่างกัน จากการศึกษาปริมาณสารหนูในข้าวขาว (39 ตัวอย่าง) และข้าวกล้อง (45 ตัวอย่าง) ที่เก็บมาจากหลายที่ทั้งซุปเปอร์มาเกต, แปลงทดลอง, นาข้าว ของ Meharg และคณะ ในปี 2008 พบว่า ข้าวกล้องมีปริมาณสารหนูอนินทรีย์สูงกว่าข้าวขาว และปริมาณของ Dimethylarsenic (DMA) ก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณของสารหนูทั้งหมด (Total arsenic) ที่เพิ่มขึ้นด้วย ต่อมา Meharg และคณะ (2009) ได้ทำการตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารหนูในข้าวขาวขัดสีที่ได้จาก 10 ประเทศ (4 ทวีป) รวมทั้งข้าวจากประเทศไทยด้วย พบว่า ตัวอย่างข้าวจากประเทศอียิปต์และอินเดียมีปริมาณเฉลี่ยของสารหนูทั้งหมดต่ำที่สุด (0.04 และ 0.07 mg/kg ตามลำดับ) และข้าวจากประเทศอเมริกาและฝรั่งเศสมีปริมาณสารหนูทั้งหมดสูงที่สุด (0.25 และ 0.28 mg/kg ตามลำดับ) ส่วนข้าวขาวจากประเทศไทย (54 ตัวอย่าง) มีปริมาณสารหนูทั้งหมด 0.14 mg/kg (0.01-0.39 mg/kg) สารหนูที่ตรวจพบในข้าวส่วนใหญ่อยู่ในรูปสารหนูอนินทรีย์และสารหนูอินทรีย์ Dimethylarsenic acid (DMA) เช่น ข้าวจากบังคลาเทศมีปริมาณสารหนูรวม 0.13 mg/kg และเป็นสารหนูอนินทรีย์ 0.08 mg/kg ในประเทศบราซิล Batista และคณะ (2011) ได้มีการสุ่มตัวอย่างข้าวชนิดต่างๆจำนวน 44 ตัวอย่าง (ข้าวขาว, ข้าวกล้อง, ข้าวอินทรีย์) มาตรวจวัดปริมาณสารหนู ซึ่งพบว่า ปริมาณสารหนูทั้งหมดเป็น 0.22 mg/kg โดยรูปแบบของสารหนูที่ตรวจพบมากที่สุด ได้แก่ As3+(39.7%), As5+(17.8%) และ DMA (38.7%) การบริโภคข้าวนี้ 88 g จะทำให้ได้รับสารหนูอนินทรีย์ต่อวันประมาณ 10% ของค่าสารหนูที่จะได้รับต่อวันซึ่งยินยอมได้ (Provisional Tolerable Daily Intake – PTDI) นอกจากนี้ Adomako และคณะ (2011) ได้เก็บตัวอย่างข้าว, ข้าวโพด, ข้าวสาลี, ข้างฟ่าง จากตลาดในประเทศกาน่า, ยุโรป, อเมริกา และเอเชีย (21 ประเทศ, 5 ทวีป) มาตรวจวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารและโลหะที่เป็นพิษ พบว่า ข้าวจากประเทศกาน่ามีปริมาณโลหะที่เป็นพิษต่ำ แต่มีปริมาณธาตุอาหารสูง ส่วนปริมาณสารหนูในข้าว พบว่า ข้าวจากประเทศอเมริกามีปริมาณสารหนูทั้งหมดสูงกว่า (0.22 mg/kg) ข้าวจากประเทศไทย (0.15 mg/kg) และข้าวจากประเทศกาน่า (0.11 mg/kg) แต่ข้าวจากประเทศกาน่าจะมีปริมาณสารหนูอนินทรีย์สูงถึง 83% (ข้าวอเมริกา 42% และข้าวไทย 67%) ส่วนปริมาณสารหนูรวมในตัวอย่างข้าวชนิดอื่นๆ มีเพียง 0.01 mg/kg เท่านั้น และเมื่อเร็วๆนี้ Rezaitabar และคณะ (2012) ได้ตรวจวัดปริมาณสารหนูในข้าวหลายสายพันธุ์ทั้งที่นำเข้ามาในอิหร่านและที่ปลูกในประเทศเอง ผลการวิเคราะห์พบว่า ปริมาณสารหนูทั้งหมดในข้าวที่นำเข้า, ข้าวที่ปลูกในนา และดิน เป็น 0.28, 0.39 และ 3.80 mg/kg ตามลำดับ ซึ่งถ้าประมาณการได้รับสารหนูเข้าไปในร่างกายผ่านการบริโภคข้าวที่นำเข้ามาและข้าวที่ปลูกเองจะได้เป็น 0.77 และ 1.074 μg/day/kg BW ซึ่งค่าที่ได้รับนี้ก็ยังต่ำกว่าค่า PTDI ที่กำหนดโดย Joint FAO/WHO Expert Committee on Food Additives (JECFA) 2.14 μg/day/kg BW จากการศึกษาในประเทศจีนโดย Li และคณะ (2011) พบว่า สำหรับประชากรจีนทั่วไป จะได้รับปริมาณสารหนูอนินทรีย์ต่อวันประมาณ 42 μg และข้าวถือเป็นแหล่งของสารหนูอนินทรีย์ที่มากที่สุด (60%) ซึ่งสารหนูอนินทรีย์ที่ได้รับเข้าไปนี้ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้ จะเห็นได้ว่าข้าวเป็นแหล่งของสารหนูที่สามารถเข้าสู่ร่างกายของผู้บริโภคได้มากที่สุด และ สารหนูอนินทรีย์ซึ่งเป็นสารอันตรายก็มีปริมาณมากในข้าว จากรายงานที่ผ่านมาพบว่า ตัวอย่างข้าวไทยมีปริมาณสารหนูน้อยกว่า 0.2 mg/kg ซึ่งถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับข้าวจากอเมริกาหรือยุโรป แต่ส่วนใหญ่การตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารหนูในปัจจุบันมักจะตรวจกันในรูปแบบของสารหนูทั้งหมด (สารหนูอินทรีย์และสารหนูอนินทรีย์) ซึ่งจะไม่สามารแยกได้ว่ามีปริมาณสารหนูอนินทรีย์ที่อันตรายมากน้อยเท่าใด ดังนั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่เราควรจะมีวิธีการตรวจวัดปริมาณสารหนูอนินทรีย์ที่ได้มาตรฐานและมีความแน่นอน สามารถทำได้รวดเร็ว จึงจะทำให้เกิดความแน่ใจในข้าวไทยทั้งที่ส่งออกและนำมาโภคในประเทศว่า มีความปลอดภัยและสามารถบริโภคได้อย่างมั่นใจ แหล่งข้อมูล:
|