Customize Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorized as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

No cookies to display.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

No cookies to display.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

No cookies to display.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

No cookies to display.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

No cookies to display.


สารหนูและแคดเมียม ในอาหารทะเล…ปลอดภัยต่อการบริโภคหรือไม่?

ดร. นุชนาถ รังคดิลก, สุมลธา หนูคาบแก้ว และ รศ.ดร. จุฑามาศ สัตยวิวัฒน์
ห้องปฏิบัติการวิจัยเภสัชวิทยา สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ (CRI), สถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ (CGI)
และศูนย์ความเป็นเลิศด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและพิษวิทยา

อาหารทะเล…ถึงแม้ว่าจะมีราคาค่อนข้างสูง แต่หลายๆคนก็ยังชอบรับประทาน ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก เมื่อนำมาประกอบอาหาร ล้วนแต่มีรสชาติถูกปาก เป็นแหล่งโปรตีนที่ย่อยง่ายและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายโดยเฉพาะไอโอดีน ไอโอดีนเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญในการสร้างไธรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมพัฒนาการของสมอง อาหารที่มีไอโอดีนสูง ได้แก่ อาหารทะเลทั้งสัตว์และพืช เช่น ปลาทะเล กุ้งทะเล สาหร่ายทะเล เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการเติมไอโอดีนในเครื่องปรุงรสเค็ม เช่น เกลือ เป็นต้น เพื่อให้สะดวกต่อการบริโภคได้ทุกวัน แต่จากข่าวในหนังสือพิมพ์ ที่มีการตรวจพบปริมาณสารหนูในอาหารทะเล ได้แก่ ตัวอย่างปลาหมึกแห้ง (5 ตัวอย่าง; วันที่ 28 ม.ค. 2554) มีปริมาณสารหนู 0.339-0.858 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ข้อมูลจาก http://www.thairath.co.th/content/144507), ตัวอย่างปลาหมึกอบกรอบแผ่นปรุงรส (5 ตัวอย่าง; วันที่ 28 ส.ค. 2558) มีปริมาณสารหนู 1.637-30.407 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ข้อมูลจาก http://www.thairath.co.th/content/ 521122), และเมื่อเร็วๆนี้ มีรายงานปริมาณสารหนูในตัวอย่างปลาจิ้งจั้ง หรือปลาฉิ้งฉั้ง ที่ทำมาจากปลากะตักตัวเล็กๆซึ่งเป็นปลาทะเลขนาดจิ๋ว (5 ตัวอย่าง; วันที่ 6 พ.ย. 2558) พบปริมาณสารหนู 2.222-5.286 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ข้อมูลจาก http://www.thairath.co.th/content/537269) นอกจากนี้ยังมีการตรวจวิเคราะห์ปริมาณแคดเมียมในปลากระป๋อง ได้แก่ ปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ และปลาแมคเคอเรลในซอสมะเขือเทศ อาหารยอดนิยมที่ชาวบ้านแบบเราๆชอบรับประทาน พบว่า ตัวอย่างปลากระป๋อง 5 ตัวอย่าง จาก 5 ยี่ห้อ มีปริมาณแคดเมียมปนเปื้อน 2 ตัวอย่าง (0.06 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) (ข้อมูลจาก http://www.thairath.co.th/content/104755)

เราคงจะมีคำถามขึ้นว่า สารหนูและแคดเมียมเหล่านี้มาจากไหน ทำไมจึงตรวจพบในปริมาณมากในอาหารทะเล? สารหนูเป็นธาตุกึ่งโลหะ ที่สามารถพบได้ในธรรมชาติ เช่น ดิน หิน แหล่งน้ำ การระเบิดของภูเขาไฟ หรือเกิดจากการเผาถ่านหิน ตลอดจนการใช้ปุ๋ยและสารกำจัดวัชพืชหรือศัตรูพืช ส่วนแคดเมียมเป็นโลหะหนักที่มีสีเงินแกมขาว โดยทั่วไปแคดเมียมที่ปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมจะพบในแหล่งทำเหมืองสังกะสีและตะกั่ว อุตสาหกรรมยาสูบและบุหรี่ นอกจากนี้ยังนิยมใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ อุปกรณ์ไฟฟ้า โลหะผสม และอะไหล่รถยนต์ การใช้โลหะหนักเหล่านี้ในกระบวนผลิตทางอุตสาหกรรมบางอย่าง อาจทำให้มีการปล่อยน้ำเสียจากอุตสาหกรรม หรือภาคเกษตรกรรมที่มีสารหนูและแคดเมียมปนเปื้อนในสารกำจัดศัตรูพืชหรือมูลสัตว์ที่นำมาใช้เป็นปุ๋ย ซึ่งเมื่อมีฝนตกอาจจะถูกชะล้างลงสู่สิ่งแวดล้อม เช่น ดิน แม่น้ำ ทะเล หรือมหาสมุทร เป็นต้น ทำให้สัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนั้นๆได้รับสารหนูและแคดเมียมนี้เข้าไปสะสมในร่างกาย และเมื่อผู้บริโภครับประทานสัตว์น้ำเหล่านี้เข้าไป ก็จะได้รับสารเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายด้วย

สารหนูที่พบในธรรมชาติมี 2 รูปแบบ คือ สารหนูอินทรีย์ (Organic) และสารหนูอนินทรีย์ (Inorganic) ความเป็นพิษของสารหนูขึ้นอยู่กับชนิดของสารหนู รวมทั้งระยะเวลาและปริมาณที่ได้รับเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งสารหนูอนินทรีย์จัดว่าเป็นสารหนูที่มีความเป็นพิษสูงกว่าสารหนูอินทรีย์ และถูกจัดให้เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งในคนได้ แต่ร่างกายจะสามารถขับสารหนูออกได้เองโดยทางปัสสาวะในเวลา 2-3 วัน ถ้าได้รับสารหนูปริมาณน้อย แต่ถ้าได้รับในปริมาณมากๆ เป็นระยะเวลานาน ก็อาจทำให้เกิดการสะสมของสารหนูในร่างกาย แล้วเกิดความเป็นพิษได้ ส่วนแคดเมียมจะเข้าสู่ร่างกายจากอาหารที่บริโภคเข้าไปเป็นหลัก โดยอาจปนเปื้อนมากับพืชผัก ผลไม้ หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่นำมาปรุงเป็นอาหาร ส่วนใหญ่แคดเมียมในร่างกายจะไปสะสมอยู่ที่ตับและไต ทำให้เกิดพิษในคนได้
เมื่อทราบว่าสารหนูและแคดเมียมมีอันตรายแล้ว เรายังสามารถบริโภคอาหารทะเลเหล่านี้ได้หรือไม่ ถ้ารับประทานเข้าไปแล้ว สารหนูและแคดเมียมจะเข้าไปสะสมในร่างกายจนก่อให้เกิดอันตรายได้หรือไม่ ซึ่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สามารถให้คำตอบที่สงสัยได้ โดยห้องปฏิบัติการเภสัชวิทยา สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ได้รับทุนวิจัยจากศูนย์ความเป็นเลิศด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและพิษวิทยา ภายใต้สำนักพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สบว), สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กระทรวงศึกษาธิการ ในการตรวจวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักในอาหารทะเลจากจังหวัดระยอง โดยทำการสุ่มเก็บตัวอย่างอาหารทะเลในปี พ.ศ. 2552-2553 ได้แก่ ปลาหมึก 33 ตัวอย่าง, ปลากะพง3 ตัวอย่าง, หอยบิด 30 ตัวอย่าง, หอยแมลงภู่ 30 ตัวอย่าง, หอยตลับ 10 ตัวอย่าง, และหอยคราง 10 ตัวอย่าง (รูปที่ 1) แล้วนำตัวอย่างอาหารทะเลนี้มาทำการย่อยด้วยกรดไนตริกเข้มข้น และตรวจวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนัก โดยใช้เครื่อง Inductively coupled plasma mass spectrometry (ICP-MS)

รูปที่ 1 ตัวอย่างปลาหมึก ปลา และหอยชนิดต่างๆ ที่นำมาวิเคราะห์ปริมาณสารหนูและแคดเมียม

ข้อมูลที่ได้พบว่า ในเนื้อปลากะพงมีปริมาณสารหนูและแคดเมียมต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดในอาหาร (ตารางที่ 1) แต่ปลาหมึกและหอยมีปริมาณสารหนูและแคดเมียมสูงกว่าในเนื้อปลากะพง ส่วนหัวและตัวปลาหมึกมีปริมาณสารหนูใกล้เคียงกัน (4.572 และ 4.991 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามลำดับ) สำหรับตัวอย่างหอยต่างๆ พบว่า หอยครางมีปริมาณสารหนูสูงที่สุด 6.419 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนหอยแมลงภู่ที่เรานิยมรับประทานกันมีปริมาณสารหนูเฉลี่ย 2.336 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สำหรับปริมาณแคดเมียมในอาหารทะเลนี้ พบว่า ในตัวอย่างปลา ปลาหมึก และหอยนี้ มีปริมาณแคดเมียมอยู่ในระดับต่ำ (< 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ยกเว้น หอยคราง ที่มีปริมาณแคดเมียมสูง 1.951 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ปริมาณสารหนูในตัวอย่างปลาหมึกและหอยนี้ สูงเกินกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดให้มีได้ในอาหาร

ตารางที่ 1 ปริมาณสารหนูทั้งหมด (Total arsenic) และแคดเมียมในตัวอย่างอาหารทะเล (มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม น้ำหนักสด)

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 98 พ.ศ. 2529 เรื่อง มาตรฐานอาหารที่มีสารปนเปื้อน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข กำหนดค่าสูงสุดของสารหนูทั้งหมดหรือ Total arsenic ในอาหารทั่วไป ไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และกำหนดให้ปริมาณสารหนูชนิดอนินทรีย์ในอาหารทะเลไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนปริมาณแคดเมียมนั้น FAO/WHO Codex Alimentarius Commission กำหนดปริมาณสูงสุดของแคดเมียมในหอย (Marine bivalve molluscs) ไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และ European Commission กำหนดปริมาณสูงสุดของแคดเมียมในปลาไม่เกิน 0.05-0.3 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ขึ้นกับชนิดของปลา ส่วนในหอยกำหนดไว้ไม่เกิน 1.0 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

จากข้อมูลการศึกษาที่ได้นี้ พบว่า ปลากะพงมีการปนเปื้อนของโลหะหนักเหล่านี้ต่ำกว่าค่ามาตรฐานในอาหาร ส่วนปลาหมึกและหอยทุกตัวอย่าง มีปริมาณสารหนูทั้งหมดมากกว่า 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนปริมาณแคดเมียม พบว่า มีเพียงหอยครางเท่านั้นที่มีปริมาณแคดเมียมสูงเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้

เมื่อพบว่ามีสารหนูสูงในอาหารทะเลแล้ว คำถามที่ตามมาคือ เรายังสามารถบริโภคอาหารทะเลนี้ได้หรือไม่ แล้วถ้าบริโภคนานๆ บ่อยๆ จะเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ ดังนั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจวิเคราะห์ว่าสารหนูที่พบในอาหารทะเลเหล่านี้ เป็นสารหนูชนิดที่มีความเป็นพิษสูงหรือไม่ สำหรับวิธีการตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารหนูโดยทั่วไปจะใช้วิธีของ AOAC 2005 Official Method 986.15 เป็นวิธีที่ใช้ตรวจวิเคราะห์ปริมาณธาตุต่างๆได้แก่ สารหนูทั้งหมด (Total arsenic), แคดเมียม, ตะกั่ว, ซีลีเนียม และสังกะสี ในอาหารต่างๆ ด้วยเครื่อง Atomic Absorption Spectroscopy (AAS) ซึ่งไม่ได้ตรวจวิเคราะห์ชนิดของสารหนูในอาหาร ดังนั้นเมื่อตรวจพบปริมาณสารหนูสูงในอาหารทะเลแล้ว จึงควรที่จะทำการตรวจวิเคราะห์ชนิดของสารหนูต่อไปด้วย เพื่อจะได้ทราบว่า สารหนูที่มีปริมาณสูงนี้เป็นสารหนูอนินทรีย์ที่เกินค่ามาตรฐานในอาหารนั้นๆหรือไม่ จะวิเคราะห์เฉพาะสารหนูทั้งหมด (Total arsenic) ไม่ได้ ควรตรวจวิเคราะห์แยกชนิดของสารหนูตามค่ามาตรฐานที่กำหนดในอาหาร

จากการศึกษาชนิดของสารหนูต่างๆที่ปนเปื้อนในหอยและปลาหมึกเหล่านี้ (As speciation) ซึ่งได้แก่ สารหนูอนินทรีย์ [As(III), As(V)] และสารหนูอินทรีย์ [MMA: Monomethylarsonic acid; DMA: Dimethylarsenic acid และ arsenobetaine: AsB) โดยใช้เทคนิค HPLC-ICP-MS ผลที่ได้พบว่า ชนิดของสารหนูที่พบมากในหอยและปลาหมึก คือ arsenobetaine (AsB) จัดเป็นสารหนูอินทรีย์ซึ่งมีความเป็นพิษน้อยกว่าสารหนูอนินทรีย์ และสามารถถูกขับออกทางปัสสาวะได้ ในปลาหมึกมีปริมาณ AsB > 70% ของปริมาณสารหนูทั้งหมด (Total arsenic) (ตารางที่ 2) ส่วนหอยมีปริมาณ AsB 45-76% ของปริมาณสารหนูทั้งหมด (Total arsenic) ขึ้นอยู่กับชนิดของหอยนั้นๆ นอกจากนี้ยังมีสารหนูอินทรีย์อื่นๆอีก ซึ่งไม่ได้ทำการตรวจวิเคราะห์ในครั้งนี้ ส่วนสารหนูอนินทรีย์ เช่น As(III) และ As(V) พบปริมาณน้อยมากในหอยและปลาหมึกนี้

ตารางที่ 2 ปริมาณสารหนูอินทรีย์ชนิด Arsenobetaine เปรียบเทียบกับสารหนูทั้งหมด (Total arsenic) ในตัวอย่างอาหารทะเล (มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม น้ำหนักสด)

ถึงแม้ว่าชนิดของสารหนูที่พบมากในอาหารทะเลนี้จะเป็นสารหนูอินทรีย์ชนิดที่เป็นอันตรายน้อยกว่า ทำให้เราสามารถบริโภคอาหารทะเลเหล่านี้ได้อย่างสบายใจขึ้น แต่เราก็ไม่ควรที่จะบริโภคเป็นประจำ อย่างต่อเนื่อง เพราะอาจทำให้เกิดการสะสมโลหะหนักนี้ในร่างกายได้ โดยเฉพาะแคดเมียม ซึ่งมีการสะสมในร่างกายได้นานกว่าสารหนู และเราควรที่จะรับประทานอาหารให้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะผักและผลไม้ เพื่อเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย ไม่รับประทานอาหารซ้ำซาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะได้เพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐก็ควรมีการติดตามเฝ้าระวังปริมาณการปนเปื้อนของโลหะหนักเหล่านี้ในอาหารทะเลอย่างต่อเนื่อง และค้นหาแหล่งที่มาของโลหะหนักเหล่านี้ เพื่อลดการปนเปื้อนลงสู่น้ำทะเลที่เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ เพื่อให้อาหารทะเลเป็นอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางอาหารสำหรับการบริโภคต่อไป